ประสบการณ์ชีวิตนักศึกษาทุน 4 ปีที่เมืองเซี่ยงไฮ้ (Shanghai) ประสบการณ์ชีวิตนักศึกษาทุน 4 ปีที่เมืองเซี่ยงไฮ้ (Shanghai ประสบการณ์ชีวิตนักศึกษาทุน 4 ปีที่เมืองเซี่ยงไฮ้ (Shanghai

สวัสดีทุกคนเรา ชื่อ อิง เป็นนักเรียนทุนรัฐบาลเซี่ยงไฮ้ ประเภท B ปี 2011 ได้รับทุนโดยผ่านการคัดเลือกของสถาบัน Friendship International Education ค่ะ

 

 “เซี่ยงไฮ้” ตอนอยู่ มัธยมปลาย เราไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับเซี่ยงไฮ้เลยค่ะ รู้แค่เป็นเมืองหนึ่งของประเทศจีน จนได้มีโอกาสดูละครเรื่อง “เธอกับเขา และรักของเรา” ช่วงแรกก็ยังดูผ่านๆ ไม่ได้

สนใจอะไร จนวันนึง เมื่อได้รับโอกาส รู้ว่าเราจะได้รับทุนไปเรียนต่อที่เซี่ยงไฮ้เลยเริ่มศึกษามากขึ้น ผลออกตอนเดือนกุมภาพันธ์ แต่เปิดเทอมเดือนกันยายน มีเวลาเตรียมตัวนานพอสมควร แต่ก็ยัง

รู้สึกว่าเรายังไม่พร้อมเท่าไหร่ เดือนหลังๆ ก่อนจะบินร้องไห้ทุกวัน จนถึงวันที่ออกเดินทาง

 

ก้าวแรก เมื่อแตะสนามบินผู่ตง ใจก็คิดแล้วหล่ะ  "ต่อไปนี้ไม่มีภาษาไทยแล้วนะ" ตื่นเต้นมาก ทางสถาบัน Friendship ได้ติดต่อแท็กซี่เอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว พอเดินออกมาก็เจอคนขับรถถือป้าย

รอเราอยู่แล้ว พอออกจากสนามบินก็นั่งมองวิวตลอดทาง (ถึงแม้ว่าง่วงมาก เนื่องจากบินไฟล์ดึก) พอถึงหอพักเราก็ไปติดต่อกับพนักงาน ซึ่งคุยกันไม่รู้เรื่องเลย เค้าไม่เข้าใจในภาษาจีนที่เราพูด 

ส่วนสิ่งที่เค้าพูดมาเราก็ไม่เข้าใจ เราเลยพูด ภาษาอังกฤษไปแทนเค้า ทีนี้เค้าเดินหนีเราไปเลยน้ำตาจะไหล ในความคิดตอนนั้นแบบทำไมเป็นแบบนี้นะเราจะเอาชีวิตรอดไหม พอเราจัดการเรื่อง

หอพักเสร็จแล้วก็ไปมหาวิทยาลัยต่อเลยค่ะ

 

มหาวิทยาลัยที่เราได้ทุนเรียนคือ 上海外国语大学 เรียกสั้นๆว่า (上外) ซึ่งหอพักก็อยู่ในรั้วเดียวกับมหาวิทยาลัยค่ะ ใช้เวลาเดินจากหอพักไปตึกเรียน ประมาณ 5 นาที แต่เริ่มวันแรกก็เดินหลงทาง

แล้วค่ะ วนไปวนมาอยู่นานกว่าจะหาตึกเจอ พอถึงตึกปุ๊บก็ไปรายงานตัวค่ะ ซึ่งมีนักศึกษามารายงานตัวเยอะมากมากันเป็นกรุ๊ปๆ มีทั้งโดนแซงคิว โดนชน ทำให้มีเสียความรู้สึกบ้างค่ะ แต่ในที่สุดก็มี

คนมาสนใจหนูสักที (ซึ่งตอนหลังเพิ่งจะเข้าใจว่า เค้าแบ่งครูกัน ชาติอะไร ต้องไปหาคุณครูคนไหน อะไรแบบนี้) คุณครูที่รับเรื่องเราก็น่ารักค่ะ อธิบายทุกอย่าง แต่ด้วยความที่เขาพูดเร็วเราก็เริ่มฟัง

ไม่ทันเริ่มงงค่ะ พอเขารับรู้ได้ถึงความสับสนบนใบหน้าเรา เขาก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นอธิบายโดยใช้ภาษาอังกฤษค่ะ ซี่งเอาจริงแล้วงงกว่าเก่าอีกค่ะ จนต้องทำเป็นว่าเข้าใจแล้วค่ะ แล้วก็รีบกลับหอมา

นั่งเปิดดิกเอาทุกตัวเลยค่ะ ซึ่งวันรุ่งขึ้นก็มีการสอบวัดระดับภาษาจีนก่อนเริ่มเรียนด้วยค่ะ (ซึ่งนักศึกษาที่มีคะแนนดี และมีผลสอบ HSK5 ขึ้นไป จะได้เรียนห้อง 8 ค่ะ ห้องนี้ถ้าสอบผ่านสามารถข้าม

ชั้นไปเรียนปี 2 ได้เลยค่ะ ประหยัดเวลาไปปีนึง) 

 

หอพักที่เราอยู่ ชื่อว่า 上外迎宾馆 เป็นหอที่เรียกได้ว่า ดีที่สุดของมหาวิทยาลัย และดีที่สุดในบรรดาหอพักทั้งหมดของมหาวิทยาลัยในเซี่ยงไฮ้ (ณ ตอนนั้นปี 2011) ด้วยความที่หอพักเพิ่งจะ

รีโนเวท แต่คืนแรกก็เจอเรื่องตื่นเต้นแล้วปรากฏว่าไฟดับแล้วก็มีเสียง ระเบิดดังปั้งทุกอย่างก็อยู่ในความมืดมิดต้องเดินลงมาแจ้งที่ชั้น 1 ก็พูดภาษาจีนผสมภาษาไทยมั่วไปหมดเลยค่ะ จนมีช่างมา

ซ่อม (เทอมแรกที่อยู่ในหอพัก อุปกรณ์ทุกอย่างเสียบ่อยมาก เหมือนจะยังไม่ลงตัว ได้เจอกับพวกช่างซ่อมต่างๆ ทุกวัน ได้ฝึกภาษาจีนกับพวกช่างซ่อมนี่แหละค่ะ)

 

ซิม เป็นปัญหาที่ถือว่าใหญ่มากๆ หาซื้อไม่ได้เดินถามใครเค้า ก็ไม่มีใครเข้าใจ เดินหนีทุกคน จนได้เจอกับเด็กมัธยมคนนึง คือ ช่วยเราแบบเต็มที่ ภาษาก็คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เค้าก็ช่วยเต็มที่เลย

ค่ะ แต่ก็ยังหาซื้อไม่ได้ จนสุดท้ายก็เดินวนไปวนมาจนหาซื้อได้ แต่โทรกลับไทยไม่ได้อีก โชคดีที่มีเพื่อนอยู่ที่ชิงเต่า เคยให้เบอร์ไว้ก่อนที่จะบินมาจีน โทรหาเลยค่ะ เพื่อนรับปุ๊บ ร้องไห้อย่างเดียว

ไปประมาณ 5 นาที ร้องจนเพื่อนบอกว่าหยุดร้องเหอะ เราจะร้องตามแล้วนะ ก็ฝืนจนหยุดร้องได้ เพื่อนเลยโทรกลับไทยให้ ให้คุณแม่หาวิธีโทรมาหาเรา พอเห็นเบอร์คุณแม่ปุ๊บ น้ำตาก็ไหลอีกแล้ว

ค่ะ ร้องไห้จะกลับบ้านอย่างเดียว แล้วคุณแม่ก็จะโทรมาหาเราทุกวัน เราก็ร้องไห้ทุกวัน ร้องจนคุณแม่บอกให้บินกลับมาก่อน แล้วค่อยบินกลับมาใหม่พร้อมเพื่อน (อีก 4 วันข้างหน้า) ซึ่งส่วนตัวแล้ว

ถ้ากลับไทยมาก็ร้องไห้ใหม่อีก เปลืองตังค่าตั๋วอีกเลยทำใจแข็งไม่กลับ แต่ก็ร้องไห้ทุกวัน วันละ 7 รอบ จนเพื่อนมานั่นแหละค่ะ เลยหยุดร้อง แต่ก็ร้องไห้ทุกรอบที่ต้องบินกลับไปนะ ฮ่าๆๆๆ

 

 

มหาวิทยาลัยที่เราเรียนจะแบ่งออกเป็น 2 แคมปัส คือ วิทยาเขตซงเจียง (ป.ตรี นักศึกษาจีน) และ วิทยาเขตหงโข่ว (ป.ตรี นักศึกษาต่างชาติ ป.โท ป.เอกและนักศึกษาที่มาเรียนภาษา) พอเปิด

เทอมวันแรกได้เจอเพื่อนๆ อารมณ์เหงาๆ คิดถึงบ้านก็หมดไปค่ะ ในห้องมีญี่ปุ่น 7 คน เกาหลี 4 คน คาซัคสถาน 3 คน ไทย 2 คน อเมริกา 1 คน ชิลี 1 คน รัสเซีย 1 คน เวลาเรียนมีไม่เข้าใจบ้าง มี

งงบ้าง แต่เหล่าซือใจดีทุกคนค่ะ ที่นี่ทุกห้องจะต้องมีครูประจำชั้นค่ะ เวลามีปัญหาก็ได้ครูประจำชั้นเนี่ยหล่ะค่ะ ที่คอยจัดการแก้ไขปัญหาให้  

 

มหาวิทยาลัยมีกิจกรรมสำหรับเด็กต่างชาติไม่ค่อยเยอะ (แต่ปัจจุบันเยอะมากค่ะ) หลักๆก็คือ การแข่งขันพูดสุนทรพจน์ การแข่งขันร้องเพลงจีน การแข่งขันเขียนเรียงความภาษาจีน กิจกรรมวัน

คริสต์มาส เป็นต้น ซึ่งถ้าเราชนะมีเงินรางวัลมอบให้ด้วยค่ะ 

 

 

เรื่องการใช้ชีวิตในเซี่ยงไฮ้

จริงๆการใช้ชีวิตในเซี่ยงไฮ้ นับว่า สบายที่สุดในเมืองจีนแล้วหล่ะค่ะ การเดินทางสะดวกสบาย อาหารการกินครบ และเป็นเมืองที่คนไทยเยอะมากๆ เดินไปทางไหนก็เจอ

คนไทย จนนึกว่ายังอยู่ประเทศไทย และที่เซี่ยงไฮ้ ก็มีสมาคมนักเรียนไทยด้วยค่ะ ซึ่งเราเป็นหัวหน้าฝ่ายทะเบียนของสมาคมนักเรียนไทยรุ่นที่ 5 ซึ่งจะมีการเปลี่ยนทุกๆ ปี ทางสมาคมฯ จะจัดกิจกร

รมหลักๆ ได้แก่ กิจกรรมวันสงกรานต์ กิจกรรมปฐมนิเทศ กิจกรรมวันลอยกระทง ซึ่งกิจกรรมเทศกาลของไทยนั้น ชาวต่างชาติสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ เป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยไปในตัว

 

 

ปัจจุบันเราเรียนจบกลับมาทำงานที่เมืองไทยแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ดีๆ ตลอดทั้ง 4 ปีที่ผ่านมา ขอบคุณทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มีทั้งดีและไม่ดี (แต่ส่วนมากจะดี) การไปใช้ชีวิต

อยู่ต่างประเทศ 4 ปีนั้น ทำให้เราโตขึ้น ความคิดเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ช่วยเหลือตัวเอง ตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ถ้าใครมาถามว่าไปเรียนต่อจีนดีมั้ย จะรอดมั้ย เราจะตอบกลับทันทีค่ะ เราอายุ 18 ยังผ่านมาได้

ไปเถอะค่ะ ประสบการณ์ดีๆรอคุณอยู่ 

 

และทั้งหมดนี้ก็คือ ประสบการณ์ของน้องอิง ที่อยากถ่ายทอดให้เพื่อนๆ น้องๆ ที่กำลังจะเดินจะเดินทางไปศึกษาต่อประเทศจีน หวังว่าจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ 

เรียบเรียงโดย สถาบัน Friendship International Education

 

 

 

สวัสดีทุกคนเรา ชื่อ อิง เป็นนักเรียนทุนรัฐบาลเซี่ยงไฮ้ ประเภท B ปี 2011 ได้รับทุนโดยผ่านการคัดเลือกของสถาบัน Friendship International Education ค่ะ

 

 “เซี่ยงไฮ้” ตอนอยู่ มัธยมปลาย เราไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับเซี่ยงไฮ้เลยค่ะ รู้แค่เป็นเมืองหนึ่งของประเทศจีน จนได้มีโอกาสดูละครเรื่อง “เธอกับเขา และรักของเรา” ช่วงแรกก็ยังดูผ่านๆ ไม่ได้

สนใจอะไร จนวันนึง เมื่อได้รับโอกาส รู้ว่าเราจะได้รับทุนไปเรียนต่อที่เซี่ยงไฮ้เลยเริ่มศึกษามากขึ้น ผลออกตอนเดือนกุมภาพันธ์ แต่เปิดเทอมเดือนกันยายน มีเวลาเตรียมตัวนานพอสมควร แต่ก็ยัง

รู้สึกว่าเรายังไม่พร้อมเท่าไหร่ เดือนหลังๆ ก่อนจะบินร้องไห้ทุกวัน จนถึงวันที่ออกเดินทาง

 

ก้าวแรก เมื่อแตะสนามบินผู่ตง ใจก็คิดแล้วหล่ะ  "ต่อไปนี้ไม่มีภาษาไทยแล้วนะ" ตื่นเต้นมาก ทางสถาบัน Friendship ได้ติดต่อแท็กซี่เอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว พอเดินออกมาก็เจอคนขับรถถือป้าย

รอเราอยู่แล้ว พอออกจากสนามบินก็นั่งมองวิวตลอดทาง (ถึงแม้ว่าง่วงมาก เนื่องจากบินไฟล์ดึก) พอถึงหอพักเราก็ไปติดต่อกับพนักงาน ซึ่งคุยกันไม่รู้เรื่องเลย เค้าไม่เข้าใจในภาษาจีนที่เราพูด 

ส่วนสิ่งที่เค้าพูดมาเราก็ไม่เข้าใจ เราเลยพูด ภาษาอังกฤษไปแทนเค้า ทีนี้เค้าเดินหนีเราไปเลยน้ำตาจะไหล ในความคิดตอนนั้นแบบทำไมเป็นแบบนี้นะเราจะเอาชีวิตรอดไหม พอเราจัดการเรื่อง

หอพักเสร็จแล้วก็ไปมหาวิทยาลัยต่อเลยค่ะ

 

มหาวิทยาลัยที่เราได้ทุนเรียนคือ 上海外国语大学 เรียกสั้นๆว่า (上外) ซึ่งหอพักก็อยู่ในรั้วเดียวกับมหาวิทยาลัยค่ะ ใช้เวลาเดินจากหอพักไปตึกเรียน ประมาณ 5 นาที แต่เริ่มวันแรกก็เดินหลงทาง

แล้วค่ะ วนไปวนมาอยู่นานกว่าจะหาตึกเจอ พอถึงตึกปุ๊บก็ไปรายงานตัวค่ะ ซึ่งมีนักศึกษามารายงานตัวเยอะมากมากันเป็นกรุ๊ปๆ มีทั้งโดนแซงคิว โดนชน ทำให้มีเสียความรู้สึกบ้างค่ะ แต่ในที่สุดก็มี

คนมาสนใจหนูสักที (ซึ่งตอนหลังเพิ่งจะเข้าใจว่า เค้าแบ่งครูกัน ชาติอะไร ต้องไปหาคุณครูคนไหน อะไรแบบนี้) คุณครูที่รับเรื่องเราก็น่ารักค่ะ อธิบายทุกอย่าง แต่ด้วยความที่เขาพูดเร็วเราก็เริ่มฟัง

ไม่ทันเริ่มงงค่ะ พอเขารับรู้ได้ถึงความสับสนบนใบหน้าเรา เขาก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นอธิบายโดยใช้ภาษาอังกฤษค่ะ ซี่งเอาจริงแล้วงงกว่าเก่าอีกค่ะ จนต้องทำเป็นว่าเข้าใจแล้วค่ะ แล้วก็รีบกลับหอมา

นั่งเปิดดิกเอาทุกตัวเลยค่ะ ซึ่งวันรุ่งขึ้นก็มีการสอบวัดระดับภาษาจีนก่อนเริ่มเรียนด้วยค่ะ (ซึ่งนักศึกษาที่มีคะแนนดี และมีผลสอบ HSK5 ขึ้นไป จะได้เรียนห้อง 8 ค่ะ ห้องนี้ถ้าสอบผ่านสามารถข้าม

ชั้นไปเรียนปี 2 ได้เลยค่ะ ประหยัดเวลาไปปีนึง) 

 

หอพักที่เราอยู่ ชื่อว่า 上外迎宾馆 เป็นหอที่เรียกได้ว่า ดีที่สุดของมหาวิทยาลัย และดีที่สุดในบรรดาหอพักทั้งหมดของมหาวิทยาลัยในเซี่ยงไฮ้ (ณ ตอนนั้นปี 2011) ด้วยความที่หอพักเพิ่งจะ

รีโนเวท แต่คืนแรกก็เจอเรื่องตื่นเต้นแล้วปรากฏว่าไฟดับแล้วก็มีเสียง ระเบิดดังปั้งทุกอย่างก็อยู่ในความมืดมิดต้องเดินลงมาแจ้งที่ชั้น 1 ก็พูดภาษาจีนผสมภาษาไทยมั่วไปหมดเลยค่ะ จนมีช่างมา

ซ่อม (เทอมแรกที่อยู่ในหอพัก อุปกรณ์ทุกอย่างเสียบ่อยมาก เหมือนจะยังไม่ลงตัว ได้เจอกับพวกช่างซ่อมต่างๆ ทุกวัน ได้ฝึกภาษาจีนกับพวกช่างซ่อมนี่แหละค่ะ)

 

ซิม เป็นปัญหาที่ถือว่าใหญ่มากๆ หาซื้อไม่ได้เดินถามใครเค้า ก็ไม่มีใครเข้าใจ เดินหนีทุกคน จนได้เจอกับเด็กมัธยมคนนึง คือ ช่วยเราแบบเต็มที่ ภาษาก็คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เค้าก็ช่วยเต็มที่เลย

ค่ะ แต่ก็ยังหาซื้อไม่ได้ จนสุดท้ายก็เดินวนไปวนมาจนหาซื้อได้ แต่โทรกลับไทยไม่ได้อีก โชคดีที่มีเพื่อนอยู่ที่ชิงเต่า เคยให้เบอร์ไว้ก่อนที่จะบินมาจีน โทรหาเลยค่ะ เพื่อนรับปุ๊บ ร้องไห้อย่างเดียว

ไปประมาณ 5 นาที ร้องจนเพื่อนบอกว่าหยุดร้องเหอะ เราจะร้องตามแล้วนะ ก็ฝืนจนหยุดร้องได้ เพื่อนเลยโทรกลับไทยให้ ให้คุณแม่หาวิธีโทรมาหาเรา พอเห็นเบอร์คุณแม่ปุ๊บ น้ำตาก็ไหลอีกแล้ว

ค่ะ ร้องไห้จะกลับบ้านอย่างเดียว แล้วคุณแม่ก็จะโทรมาหาเราทุกวัน เราก็ร้องไห้ทุกวัน ร้องจนคุณแม่บอกให้บินกลับมาก่อน แล้วค่อยบินกลับมาใหม่พร้อมเพื่อน (อีก 4 วันข้างหน้า) ซึ่งส่วนตัวแล้ว

ถ้ากลับไทยมาก็ร้องไห้ใหม่อีก เปลืองตังค่าตั๋วอีกเลยทำใจแข็งไม่กลับ แต่ก็ร้องไห้ทุกวัน วันละ 7 รอบ จนเพื่อนมานั่นแหละค่ะ เลยหยุดร้อง แต่ก็ร้องไห้ทุกรอบที่ต้องบินกลับไปนะ ฮ่าๆๆๆ

 

 

มหาวิทยาลัยที่เราเรียนจะแบ่งออกเป็น 2 แคมปัส คือ วิทยาเขตซงเจียง (ป.ตรี นักศึกษาจีน) และ วิทยาเขตหงโข่ว (ป.ตรี นักศึกษาต่างชาติ ป.โท ป.เอกและนักศึกษาที่มาเรียนภาษา) พอเปิด

เทอมวันแรกได้เจอเพื่อนๆ อารมณ์เหงาๆ คิดถึงบ้านก็หมดไปค่ะ ในห้องมีญี่ปุ่น 7 คน เกาหลี 4 คน คาซัคสถาน 3 คน ไทย 2 คน อเมริกา 1 คน ชิลี 1 คน รัสเซีย 1 คน เวลาเรียนมีไม่เข้าใจบ้าง มี

งงบ้าง แต่เหล่าซือใจดีทุกคนค่ะ ที่นี่ทุกห้องจะต้องมีครูประจำชั้นค่ะ เวลามีปัญหาก็ได้ครูประจำชั้นเนี่ยหล่ะค่ะ ที่คอยจัดการแก้ไขปัญหาให้  

 

มหาวิทยาลัยมีกิจกรรมสำหรับเด็กต่างชาติไม่ค่อยเยอะ (แต่ปัจจุบันเยอะมากค่ะ) หลักๆก็คือ การแข่งขันพูดสุนทรพจน์ การแข่งขันร้องเพลงจีน การแข่งขันเขียนเรียงความภาษาจีน กิจกรรมวัน

คริสต์มาส เป็นต้น ซึ่งถ้าเราชนะมีเงินรางวัลมอบให้ด้วยค่ะ 

 

 

เรื่องการใช้ชีวิตในเซี่ยงไฮ้

จริงๆการใช้ชีวิตในเซี่ยงไฮ้ นับว่า สบายที่สุดในเมืองจีนแล้วหล่ะค่ะ การเดินทางสะดวกสบาย อาหารการกินครบ และเป็นเมืองที่คนไทยเยอะมากๆ เดินไปทางไหนก็เจอ

คนไทย จนนึกว่ายังอยู่ประเทศไทย และที่เซี่ยงไฮ้ ก็มีสมาคมนักเรียนไทยด้วยค่ะ ซึ่งเราเป็นหัวหน้าฝ่ายทะเบียนของสมาคมนักเรียนไทยรุ่นที่ 5 ซึ่งจะมีการเปลี่ยนทุกๆ ปี ทางสมาคมฯ จะจัดกิจกร

รมหลักๆ ได้แก่ กิจกรรมวันสงกรานต์ กิจกรรมปฐมนิเทศ กิจกรรมวันลอยกระทง ซึ่งกิจกรรมเทศกาลของไทยนั้น ชาวต่างชาติสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ เป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยไปในตัว    

 

ปัจจุบันเราเรียนจบกลับมาทำงานที่เมืองไทยแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ดีๆ ตลอดทั้ง 4 ปีที่ผ่านมา ขอบคุณทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มีทั้งดีและไม่ดี (แต่ส่วนมากจะดี) การไปใช้ชีวิต

อยู่ต่างประเทศ 4 ปีนั้น ทำให้เราโตขึ้น ความคิดเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ช่วยเหลือตัวเอง ตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ถ้าใครมาถามว่าไปเรียนต่อจีนดีมั้ย จะรอดมั้ย เราจะตอบกลับทันทีค่ะ เราอายุ 18 ยังผ่านมาได้ 

ไปเถอะค่ะ ประสบการณ์ดีๆรอคุณอยู่ 

 

และทั้งหมดนี้ก็คือ ประสบการณ์ของน้องอิง ที่อยากถ่ายทอดให้เพื่อนๆ น้องๆ ที่กำลังจะเดินจะเดินทางไปศึกษาต่อประเทศจีน หวังว่าจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ 

เรียบเรียงโดย สถาบัน Friendship International Education

 

 

สวัสดีทุกคนเรา ชื่อ อิง เป็นนักเรียนทุนรัฐบาลเซี่ยงไฮ้ ประเภท B ปี 2011 ได้รับทุนโดยผ่านการคัดเลือกของสถาบัน Friendship International Education ค่ะ

 

 “เซี่ยงไฮ้” ตอนอยู่ มัธยมปลาย เราไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับเซี่ยงไฮ้เลยค่ะ รู้แค่เป็นเมืองหนึ่งของประเทศจีน จนได้มีโอกาสดูละครเรื่อง “เธอกับเขา และรักของเรา” ช่วงแรกก็ยังดูผ่านๆ ไม่ได้

สนใจอะไร จนวันนึง เมื่อได้รับโอกาส รู้ว่าเราจะได้รับทุนไปเรียนต่อที่เซี่ยงไฮ้เลยเริ่มศึกษามากขึ้น ผลออกตอนเดือนกุมภาพันธ์ แต่เปิดเทอมเดือนกันยายน มีเวลาเตรียมตัวนานพอสมควร แต่ก็ยัง

รู้สึกว่าเรายังไม่พร้อมเท่าไหร่ เดือนหลังๆ ก่อนจะบินร้องไห้ทุกวัน จนถึงวันที่ออกเดินทาง

 

ก้าวแรก เมื่อแตะสนามบินผู่ตง ใจก็คิดแล้วหล่ะ  "ต่อไปนี้ไม่มีภาษาไทยแล้วนะ" ตื่นเต้นมาก ทางสถาบัน Friendship ได้ติดต่อแท็กซี่เอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว พอเดินออกมาก็เจอคนขับรถถือป้าย

รอเราอยู่แล้ว พอออกจากสนามบินก็นั่งมองวิวตลอดทาง (ถึงแม้ว่าง่วงมาก เนื่องจากบินไฟล์ดึก) พอถึงหอพักเราก็ไปติดต่อกับพนักงาน ซึ่งคุยกันไม่รู้เรื่องเลย เค้าไม่เข้าใจในภาษาจีนที่เราพูด 

ส่วนสิ่งที่เค้าพูดมาเราก็ไม่เข้าใจ เราเลยพูด ภาษาอังกฤษไปแทนเค้า ทีนี้เค้าเดินหนีเราไปเลยน้ำตาจะไหล ในความคิดตอนนั้นแบบทำไมเป็นแบบนี้นะเราจะเอาชีวิตรอดไหม พอเราจัดการเรื่อง

หอพักเสร็จแล้วก็ไปมหาวิทยาลัยต่อเลยค่ะ

 

มหาวิทยาลัยที่เราได้ทุนเรียนคือ 上海外国语大学 เรียกสั้นๆว่า (上外) ซึ่งหอพักก็อยู่ในรั้วเดียวกับมหาวิทยาลัยค่ะ ใช้เวลาเดินจากหอพักไปตึกเรียน ประมาณ 5 นาที แต่เริ่มวันแรกก็เดินหลงทาง

แล้วค่ะ วนไปวนมาอยู่นานกว่าจะหาตึกเจอ พอถึงตึกปุ๊บก็ไปรายงานตัวค่ะ ซึ่งมีนักศึกษามารายงานตัวเยอะมากมากันเป็นกรุ๊ปๆ มีทั้งโดนแซงคิว โดนชน ทำให้มีเสียความรู้สึกบ้างค่ะ แต่ในที่สุดก็มี

คนมาสนใจหนูสักที (ซึ่งตอนหลังเพิ่งจะเข้าใจว่า เค้าแบ่งครูกัน ชาติอะไร ต้องไปหาคุณครูคนไหน อะไรแบบนี้) คุณครูที่รับเรื่องเราก็น่ารักค่ะ อธิบายทุกอย่าง แต่ด้วยความที่เขาพูดเร็วเราก็เริ่มฟัง

ไม่ทันเริ่มงงค่ะ พอเขารับรู้ได้ถึงความสับสนบนใบหน้าเรา เขาก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นอธิบายโดยใช้ภาษาอังกฤษค่ะ ซี่งเอาจริงแล้วงงกว่าเก่าอีกค่ะ จนต้องทำเป็นว่าเข้าใจแล้วค่ะ แล้วก็รีบกลับหอมา

นั่งเปิดดิกเอาทุกตัวเลยค่ะ ซึ่งวันรุ่งขึ้นก็มีการสอบวัดระดับภาษาจีนก่อนเริ่มเรียนด้วยค่ะ (ซึ่งนักศึกษาที่มีคะแนนดี และมีผลสอบ HSK5 ขึ้นไป จะได้เรียนห้อง 8 ค่ะ ห้องนี้ถ้าสอบผ่านสามารถข้าม

ชั้นไปเรียนปี 2 ได้เลยค่ะ ประหยัดเวลาไปปีนึง) 

 

หอพักที่เราอยู่ ชื่อว่า 上外迎宾馆 เป็นหอที่เรียกได้ว่า ดีที่สุดของมหาวิทยาลัย และดีที่สุดในบรรดาหอพักทั้งหมดของมหาวิทยาลัยในเซี่ยงไฮ้ (ณ ตอนนั้นปี 2011) ด้วยความที่หอพักเพิ่งจะ

รีโนเวท แต่คืนแรกก็เจอเรื่องตื่นเต้นแล้วปรากฏว่าไฟดับแล้วก็มีเสียง ระเบิดดังปั้งทุกอย่างก็อยู่ในความมืดมิดต้องเดินลงมาแจ้งที่ชั้น 1 ก็พูดภาษาจีนผสมภาษาไทยมั่วไปหมดเลยค่ะ จนมีช่างมา

ซ่อม (เทอมแรกที่อยู่ในหอพัก อุปกรณ์ทุกอย่างเสียบ่อยมาก เหมือนจะยังไม่ลงตัว ได้เจอกับพวกช่างซ่อมต่างๆ ทุกวัน ได้ฝึกภาษาจีนกับพวกช่างซ่อมนี่แหละค่ะ)

 

ซิม เป็นปัญหาที่ถือว่าใหญ่มากๆ หาซื้อไม่ได้เดินถามใครเค้า ก็ไม่มีใครเข้าใจ เดินหนีทุกคน จนได้เจอกับเด็กมัธยมคนนึง คือ ช่วยเราแบบเต็มที่ ภาษาก็คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เค้าก็ช่วยเต็มที่เลย

ค่ะ แต่ก็ยังหาซื้อไม่ได้ จนสุดท้ายก็เดินวนไปวนมาจนหาซื้อได้ แต่โทรกลับไทยไม่ได้อีก โชคดีที่มีเพื่อนอยู่ที่ชิงเต่า เคยให้เบอร์ไว้ก่อนที่จะบินมาจีน โทรหาเลยค่ะ เพื่อนรับปุ๊บ ร้องไห้อย่างเดียว

ไปประมาณ 5 นาที ร้องจนเพื่อนบอกว่าหยุดร้องเหอะ เราจะร้องตามแล้วนะ ก็ฝืนจนหยุดร้องได้ เพื่อนเลยโทรกลับไทยให้ ให้คุณแม่หาวิธีโทรมาหาเรา พอเห็นเบอร์คุณแม่ปุ๊บ น้ำตาก็ไหลอีกแล้ว

ค่ะ ร้องไห้จะกลับบ้านอย่างเดียว แล้วคุณแม่ก็จะโทรมาหาเราทุกวัน เราก็ร้องไห้ทุกวัน ร้องจนคุณแม่บอกให้บินกลับมาก่อน แล้วค่อยบินกลับมาใหม่พร้อมเพื่อน (อีก 4 วันข้างหน้า) ซึ่งส่วนตัวแล้ว

ถ้ากลับไทยมาก็ร้องไห้ใหม่อีก เปลืองตังค่าตั๋วอีกเลยทำใจแข็งไม่กลับ แต่ก็ร้องไห้ทุกวัน วันละ 7 รอบ จนเพื่อนมานั่นแหละค่ะ เลยหยุดร้อง แต่ก็ร้องไห้ทุกรอบที่ต้องบินกลับไปนะ ฮ่าๆๆๆ

 

 

มหาวิทยาลัยที่เราเรียนจะแบ่งออกเป็น 2 แคมปัส คือ วิทยาเขตซงเจียง (ป.ตรี นักศึกษาจีน) และ วิทยาเขตหงโข่ว (ป.ตรี นักศึกษาต่างชาติ ป.โท ป.เอกและนักศึกษาที่มาเรียนภาษา) พอเปิด

เทอมวันแรกได้เจอเพื่อนๆ อารมณ์เหงาๆ คิดถึงบ้านก็หมดไปค่ะ ในห้องมีญี่ปุ่น 7 คน เกาหลี 4 คน คาซัคสถาน 3 คน ไทย 2 คน อเมริกา 1 คน ชิลี 1 คน รัสเซีย 1 คน เวลาเรียนมีไม่เข้าใจบ้าง มี

งงบ้าง แต่เหล่าซือใจดีทุกคนค่ะ ที่นี่ทุกห้องจะต้องมีครูประจำชั้นค่ะ เวลามีปัญหาก็ได้ครูประจำชั้นเนี่ยหล่ะค่ะ ที่คอยจัดการแก้ไขปัญหาให้  

 

มหาวิทยาลัยมีกิจกรรมสำหรับเด็กต่างชาติไม่ค่อยเยอะ (แต่ปัจจุบันเยอะมากค่ะ) หลักๆก็คือ การแข่งขันพูดสุนทรพจน์ การแข่งขันร้องเพลงจีน การแข่งขันเขียนเรียงความภาษาจีน กิจกรรมวัน

คริสต์มาส เป็นต้น ซึ่งถ้าเราชนะมีเงินรางวัลมอบให้ด้วยค่ะ 

 

 

เรื่องการใช้ชีวิตในเซี่ยงไฮ้

จริงๆการใช้ชีวิตในเซี่ยงไฮ้ นับว่า สบายที่สุดในเมืองจีนแล้วหล่ะค่ะ การเดินทางสะดวกสบาย อาหารการกินครบ และเป็นเมืองที่คนไทยเยอะมากๆ เดินไปทางไหนก็เจอ

คนไทย จนนึกว่ายังอยู่ประเทศไทย และที่เซี่ยงไฮ้ ก็มีสมาคมนักเรียนไทยด้วยค่ะ ซึ่งเราเป็นหัวหน้าฝ่ายทะเบียนของสมาคมนักเรียนไทยรุ่นที่ 5 ซึ่งจะมีการเปลี่ยนทุกๆ ปี ทางสมาคมฯ จะจัดกิจกร

รมหลักๆ ได้แก่ กิจกรรมวันสงกรานต์ กิจกรรมปฐมนิเทศ กิจกรรมวันลอยกระทง ซึ่งกิจกรรมเทศกาลของไทยนั้น ชาวต่างชาติสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ เป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยไปในตัว    

 

ปัจจุบันเราเรียนจบกลับมาทำงานที่เมืองไทยแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ดีๆ ตลอดทั้ง 4 ปีที่ผ่านมา ขอบคุณทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มีทั้งดีและไม่ดี (แต่ส่วนมากจะดี) การไปใช้ชีวิต

อยู่ต่างประเทศ 4 ปีนั้น ทำให้เราโตขึ้น ความคิดเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ช่วยเหลือตัวเอง ตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ถ้าใครมาถามว่าไปเรียนต่อจีนดีมั้ย จะรอดมั้ย เราจะตอบกลับทันทีค่ะ เราอายุ 18 ยังผ่านมาได้ 

ไปเถอะค่ะ ประสบการณ์ดีๆรอคุณอยู่ 

 

และทั้งหมดนี้ก็คือ ประสบการณ์ของน้องอิง ที่อยากถ่ายทอดให้เพื่อนๆ น้องๆ ที่กำลังจะเดินจะเดินทางไปศึกษาต่อประเทศจีน หวังว่าจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ 

เรียบเรียงโดย สถาบัน Friendship International Education